อุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้าเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อยในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องจักรหรือระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หรือสถานประกอบการอื่น ๆ การทำงานกับไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้ปฏิบัติงาน หากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้า
อุบัติเหตุจากไฟฟ้าอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
1. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าผิดประเภทหรือเสื่อมสภาพ
การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าผิดประเภทหรือในสถานที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบริเวณที่มีความชื้นหรือในสถานที่ที่มีสารไวไฟ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟฟ้าช็อตหรือไฟไหม้
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานนานและไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการเสื่อมสภาพของสายไฟหรือชิ้นส่วนภายใน ทำให้เกิดความเสียหาย
2. ติดตั้งระบบไฟฟ้าไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน
หากระบบไฟฟ้าไม่ได้รับการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมหรือไม่ได้ติดตั้งตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น สายไฟที่มีการเชื่อมต่อไม่แน่นหนา การเดินสายไฟฟ้าในทางที่อาจเสี่ยงต่อการถูกกระแทก หรือใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพ สามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
3. ขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานกับไฟฟ้า
ผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการทำงานกับไฟฟ้าหรือเครื่องจักรที่ใช้ไฟฟ้ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ เช่น การไม่ปิดสวิตช์ไฟก่อนทำการซ่อมแซมหรือไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน
4. ไม่ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าเป็นประจำ
การละเลยการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพโดยที่ผู้ใช้งานไม่ทันระวัง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างการทำงาน
ผลกระทบของอุบัติเหตุที่เกิดจากทำงานกับไฟฟ้า
อุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้ามีผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สิน ซึ่งความรุนแรงของอุบัติเหตุขึ้นอยู่กับระดับแรงดันไฟฟ้า สถานที่เกิดเหตุ และความสามารถในการป้องกันอุบัติเหตุ ผลกระทบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. ผลกระทบทางร่างกาย
- การถูกไฟฟ้าช็อตสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาท กล้ามเนื้อ หรืออวัยวะภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ปฏิบัติงานสัมผัสกับแรงดันไฟฟ้าสูง อาจทำให้เกิดการหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นทันที
- การเกิดไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจรอาจทำให้เกิดบาดแผลไหม้รุนแรง ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้การรักษาที่มีระยะเวลานานหรือทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บสูญเสียการทำงานของอวัยวะบางส่วนอย่างถาวร
2. ผลกระทบทางจิตใจ
- ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุจากไฟฟ้ามักจะมีอาการเครียด หรือหวาดกลัวที่จะปฏิบัติงานกับไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งสามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานได้
- นอกจากผู้ประสบเหตุโดยตรงแล้ว เพื่อนร่วมงานหรือครอบครัวของผู้ประสบเหตุ อาจได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่อุบัติเหตุนำไปสู่การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ
3. ผลกระทบต่อทรัพย์สิน
- ไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรสามารถทำลายทรัพย์สินในสถานที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว
- การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้าที่เสียหายมักต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสามารถกระทบต่อกำลังการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจได้
สถิติอุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้า ในประเทศไทย
ในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แสดงให้เห็นว่าอุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในสถานที่ก่อสร้างและอุตสาหกรรม โดยสามารถสรุปสถิติดังนี้:
- ผู้เสียชีวิต: ในปี 2565 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตในประเทศไทยประมาณ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการทำงานในพื้นที่ที่มีการใช้งานไฟฟ้าหนัก เช่น ในการก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม
- ผู้บาดเจ็บ: มีรายงานผู้บาดเจ็บจากไฟฟ้าช็อตและไฟฟ้าลัดวงจรเกือบ 1,000 รายต่อปี โดยผู้บาดเจ็บบางรายต้องเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน และมีบางรายที่เกิดอาการพิการถาวร
- เหตุการณ์ไฟไหม้จากไฟฟ้า: ในปี 2565 เกิดเหตุไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจรประมาณ 1,500 กรณี โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์ ผลการตรวจสอบพบว่า สาเหตุหลักมาจากการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ชำรุด หรือการติดตั้งระบบไฟฟ้าอย่างไม่ถูกต้อง
วิธีป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้า
การป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้าควรเริ่มต้นตั้งแต่การติดตั้งระบบไฟฟ้า การใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ การดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าได้ ดังนี้
1. การติดตั้งและตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างถูกต้อง
ควรให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตและมีประสบการณ์ดำเนินการติดตั้งระบบไฟฟ้าในสถานที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัย การติดตั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการใช้วัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ
การตรวจสอบระบบไฟฟ้าควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในสถานที่ทำงานที่มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก เพื่อตรวจสอบการชำรุดหรือความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้า การตรวจสอบสามารถทำได้โดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
2. ฝึกอบรมพนักงานในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า
การฝึกอบรมให้พนักงานทราบถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างผิดวิธีอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ในส่วนนี้นายจ้างสามารถส่งพนักงานเข้าอบรมหลักสูตรการทำงานกับไฟฟ้า หรือเรียกสั้นๆว่า อบรมไฟฟ้า ตามศูนย์อบรมต่างๆ เพื่อให้พนักงานมีความรู้เบื้องต้นก่อนการทำงาน
นอกจากนี้ ควรฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุอันตราย ที่อาจเกิดจากไฟฟ้าและรู้วิธีป้องกันตนเอง เช่น การตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนการใช้งาน หรือการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
3. การจัดทำระบบล็อกเอาท์และแท็กเอาท์ (Lockout/Tagout)
ในกรณีที่ต้องมีการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรมีการติดตั้งระบบล็อกเอาท์และแท็กเอาท์เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าถูกเปิดใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตขณะดำเนินการซ่อมแซม
4. ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสม
การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
นอกจากนี้ อุปกรณ์ที่ใช้งานควรผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัย เช่น การใช้ปลั๊กไฟที่มีระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว หรือการใช้สายไฟที่สามารถทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งาน
5. การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
สภาพแวดล้อมการทำงานควรถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยจากไฟฟ้า เช่น การจัดพื้นที่เก็บเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็นระเบียบ ไม่วางสายไฟบนพื้นทางเดิน และการติดตั้งป้ายเตือนที่ชัดเจน
6. การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุ ควรทำการตรวจสอบสภาพของสายไฟ ปลั๊กไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่อหาสัญญาณของการชำรุด เช่น การเสื่อมสภาพของสายไฟหรือการมีรอยไหม้
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีการตรวจระบบไฟฟ้า และบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า (PM ระบบไฟฟ้า) ประจำทุกปี ในส่วนนี้คุณสามารถเลือกใช้บริการจากบริษัทรับตรวจระบบไฟฟ้า มืออาชีพ เนื่องจากมีข้อกำหนดคุณสมบัติผู้ตรวจเฉพาะทาง
7. การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม เช่น ถุงมือยางที่ทนไฟฟ้า รองเท้าที่มีพื้นเป็นวัสดุฉนวนไฟฟ้า รวมถึงเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุที่ไม่ติดไฟ เพื่อป้องกันการสัมผัสกับไฟฟ้าโดยตรง
สรุป
อุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้าเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ หากมีการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญกับการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้ให้กับพนักงานทุกคนเกี่ยวกับอันตรายจากไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ
หากคุณกำลังมองหา บริษัทรับตรวจระบบไฟฟ้า ซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบไฟฟ้า ครบวงจร เราของแนะนำ Electrical Check รับตรวจระบบโดยวิศวกรมาตรา 9 ตามกฎหมาย พร้อมออกรายงานตรวจหลังตรวจเสร็จ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่
เว็บไซต์ : electrical check.net
ติดต่อ : [email protected] , โทรศัพท์ : (064) 958 7451 (คุณแนน)